ด้วยจำนวนประชากรประมาณ
และเป็นคนทำงาน
ทำให้ประเทศไทยได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางจากภาคพื้นเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในแง่ของเรื่องราวความสำเร็จด้านการพัฒนา ตลอดระยะเวลาหลายปี แม้ว่า GDP ต่อหัวจะอยู่ที่ประมาณ 7,000 เหรียญสหรัฐก็ตาม
โดยเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับสองของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รองจากประเทศอินโดนีเซีย และมีเศรษฐกิจที่ใหญ่เป็นอันดับ 21 ของทั่วโลก
ประเทศที่มีผลผลิตทางการเกษตรมากที่สุด
ในเรื่องการผลิต
ผู้ส่งออกรายใหญ่สุด ทั่วโลก
โดยได้รับการจัดอันดับให้เป็นประเทศที่มีผลผลิตทางการเกษตรมากที่สุดเป็นอันดับ 12และใหญ่เป็นอันดับ 18 ในเรื่องการผลิต รวมถึงเป็นผู้ส่งออกรายใหญ่สุดอันดับที่ 25 ทั่วโลก ทั้งนี้คาดว่า GDP ของประเทศไทยในปี 2023 จะเติบโต 3.7 เปอร์เซ็นต์ เพิ่มขึ้นกว่า 2 เปอร์เซ็นต์จากปี 2021 แม้จะได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดก็ตาม จากข้อมูลของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (International Monetary Fund) ถึงแม้ประเทศไทยจะประสบความสำเร็จและมีการเติบโตที่ดี แต่ก็ยังคงต้องเผชิญกับปัญหาหลากหลายภายในประเทศ ที่เป็นอุปสรรคขัดขวางศักยภาพการเติบโตอย่างเต็มที่ของเศรษฐกิจ
ความตึงเครียดเรื่องระบบรักษาพยาบาลกับการเติบโตทางเศรษฐกิจและแรงงานของประเทศ
การที่ประเทศต้องพึ่งพาระบบอุตสาหกรรมที่ทันสมัยมากขึ้น เช่นระบบปรับอากาศและพลังงานเชื้อเพลิง ส่งผลให้อุณหภูมิเพิ่มสูงขึ้นและนำไปสู่ปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมในที่สุด
เมื่อมีการใช้พลังงานเพิ่มขึ้น ปัญหาด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศก็ขยายตัวมากขึ้นในประเทศไทยเช่นกัน โดยประเทศไทยอยู่ในความเสี่ยงสูง ที่จะได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ อีกทั้งได้รับการจัดอันดับอยู่ในอันดับ 9 ของประเทศในกลุ่มที่มี “ความเสี่ยงสูง” ซึ่งมีความเสี่ยงมากที่สุดที่จะได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในอนาคต 30 ปีข้างหน้า แม้ว่าอัตราการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (GHG) จะน้อยกว่า 1 เปอร์เซ็นต์ของจำนวนการปล่อยก๊าซดังกล่าวทั่วโลกก็ตาม แต่คุณภาพอากาศและเรื่องมลพิษก็กลายเป็นสิ่งที่น่ากังวลอย่างมาก
ภาคการผลิตพลังงาน
ภาคอุตสาหกรรม
ภาคขนส่ง
ท่ามกลางปัญหาที่ขยายตัวใหญ่ขึ้น การกำจัดขยะไม่ถูกวิธียังเป็นอีกสาเหตุของความน่ากังวล โดยเฉพาะในเมืองหลวงอย่างกรุงเทพฯ ที่ทำให้เกิดปัจจัยด้านอื่นเรียกร้องให้มีการดำเนินการด้านสภาพอากาศอย่างเร่งด่วน
ความท้าทายอีกรูปแบบที่ประเทศไทยต้องเผชิญคือการปรับสู่ อุตสาหกรรม 4.0 กับการเปลี่ยนกระบวนการต่างๆ สู่ระบบดิจิทัล ซึ่งประเทศไทยยังขาดการลงทุนหลักสำคัญๆ ในเรื่องของงานวิจัยและพัฒนา รวมถึงการนำเทคโนโลยีและระบบโครงสร้างใหม่มาใช้ โดยเป็นสาเหตุจากการขาดความร่วมมือทั้งในประเทศและต่างประเทศ รวมถึงแหล่งเงินทุนเพื่อรองรับการปฏิรูปดังกล่าว การขาดเงินลงทุนทำให้ประเทศไทยต้องพยายามอย่างยิ่งในการจัดการกับปัญหาช่องว่างทางทักษะที่มีอยู่และหันมาให้ความรู้แก่พนักงานเพื่อให้มั่นใจว่าคนเหล่านี้จะไม่ถูกทิ้งให้อยู่ข้างหลังแรงงานต่างชาติในเรื่องความก้าวหน้าด้านเทคโนโลยีใหม่ที่กำลังมาถึง
การกำหนดกฏเกณฑ์และนโยบายไม่เพียงพอต่อการส่งเสริมด้านนวัตกรรม การทดลองและการเปิดรับเทคโนโลยีใหม่ เนื่องจากประเทศยังคงต้องเผชิญกับความเสี่ยงทางไซเบอร์และการละเมิดข้อมูลที่เพิ่มขึ้น จึงเป็นเรื่องจำเป็นที่ภาครัฐบาลและผู้เล่นหลักในอุตสาหกรรม รวมถึงนักวิชาการต้องร่วมมือร่วมใจในการเปิดกว้างร่วมแบ่งปันข้อมูลความรู้ เพื่อผลักดันความร่วมมือ นวัตกรรมและการเติบโตเพื่อให้ประเทศไทยบรรลุจุดมุ่งหมายสู่อุตสาหกรรม 4.0
นอกจากงานปัจจุบัน Hitachi ยังได้ลงทุนด้านการวิจัยและพัฒนา โดยร่วมมือกับบริษัทและองค์กรอื่นๆ อีกทั้งมองหาแนวทางในการสร้างโซลูชันนวัตกรรมเพื่อแก้ปัญหาซับซ้อน ทั้งนี้บริษัทยังมุ่งมั่นเรื่องแนวคิดการบริหารที่สนับสนุนความหลากหลายและยอมรับความแตกต่างของพนักงาน ด้วยการตระหนักดีว่าคนทำงานที่มีความหลากหลายคือสิ่งจำเป็นที่ช่วยขับเคลื่อนนวัตกรรมและช่วยให้บรรลุเป้าหมายได้
วิสัยทัศน์และเป้าหมายของ Hitachi สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นด้านนวัตกรรม ความยั่งยืน และความรับผิดชอบต่อสังคม ด้วยการมุ่งเน้นเรื่องเทคโนโลยี และการปฏิรูปสู่ดิจิทัล โดย Hitachi จะยังคงแก้ปัญหาระดับโลกเช่นการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศผ่านโครงการอย่าง รถไฟฟ้าสายสีแดง (Bangkok Redline) ด้วยความมุ่งหวังถึงอนาคตที่มั่งคั่งและยั่งยืนยิ่งขึ้น
วันที่เผยแพร่: เดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2566