เพื่ออนาคตที่ยั่งยืนในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

การเข้าสู่ระบบดิจิตอลกำลังมีบทบาทสำคัญในระบบไฟฟ้า และการบรรลุอนาคตของพลังงานที่ยั่งยืนในประเทศอินโดนีเซีย สิ่งนี้เป็นจริงโดยเฉพาะอย่างยิ่งในชวาตะวันออกที่Hitachi Energy ได้ส่งมอบสถานีย่อยดิจิตอล 150kV ให้กับโรงไฟฟ้าประเทศอินโดนีเซีย PT Perusahaan Listrik Negara

ด้วยสถานีย่อยดิจิตอล ผู้ปฏิบัติงานสามารถเข้าถึงข้อมูลแบบทันท่วงทีเพื่อดูข้อมูลการไหลของไฟฟ้าในเครือข่าย ทำให้มีเสถียรภาพและความยืดหยุ่นมากขึ้น นอกจากนี้สถานีย่อยดิจิตอล ยังสนับสนุนการเปลี่ยนแปลงสู่อนาคตคาร์บอนต่ำของประเทศอินโดนีเซีย ด้วยการรวมพลังงานหมุนเวียนเข้ากับเครือข่ายไฟฟ้าอย่างราบรื่นด้วย

หมู่เกาะประเทศอินโดนีเซียเป็นหนึ่งในภูมิภาคที่มีแผ่นดินไหวมากที่สุดในโลก บริเวณนี้นอกจากมีแนวโน้มของแผ่นดินไหวและภูเขาไฟระเบิดแล้ว ยังเป็นแหล่งกักเก็บพลังงานความร้อนใต้พิภพด้วย คิดเป็นประมาณร้อยละ 40 ของศักยภาพในการผลิตพลังงานความร้อนใต้พิภพของโลก รัฐบาลอินโดนีเซียกำลังวางแผนที่จะใช้ประโยชน์จากสิ่งนี้ โดยเพิ่มสัดส่วนปริมาณพลังงานความร้อนใต้พิภพของส่วนผสมเชื้อเพลิงจากร้อยละ 5 เป็นร้อยละ 9.8 ในปี พ.ศ. 2570

เพื่อใช้ประโยชน์จากพลังงานความร้อนใต้พิภพบนเกาะสุมาตรา Hitachi Energy จะจัดหาสถานีย่อยสำเร็จรูปเพื่อเชื่อมต่อกับโรงไฟฟ้าพลังความร้อนใต้พิภพแห่งใหม่ใกล้กับRantau Dedapโรงงานจะจ่ายไฟฟ้าแบบไร้คาร์บอน 220MW – เพียงพอที่จะเป็นพลังงานให้กับบ้านในท้องถิ่นได้เกือบ 500,000 หลัง

กระทรวงพลังงานของประเทศไทยกำลังมองหาวิธีการสร้างระบบสมาร์ตกริด เพื่อปรับสมดุลการใช้ไฟฟ้าในช่วงที่ไฟฟ้าขาดแคลนและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยการใช้ประโยชน์จากพลังงานหมุนเวียน ในการดำเนินการ ประเทศไทยใช้โครงการนำร่องเป็นฐานสำหรับระบบ ซึ่งสามารถรองรับแหล่งพลังงานหมุนเวียนได้มากขึ้น และปรับปรุงการปฏิบัติงานของโรงจ่ายไฟฟ้า

Hitachi จะนำระบบการจัดการการตอบสนองความต้องการมาใช้ในโครงการนี้ ด้วยเทคโนโลยีด้านไอทีเหล่านี้ Hitachi สามารถจัดหาระบบที่จัดการด้านความต้องการใช้ไฟฟ้า ราวกับเป็นโรงไฟฟ้าเสมือนเพียงแห่งเดียว การทำเช่นนี้ช่วยให้ระบบเพิ่มประสิทธิภาพการจ่ายไฟ อย่างเหมาะสม และปรับความสมดุลของความต้องการได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ประเทศไทยตั้งเป้าผลิตไฟฟ้าจากแหล่งพลังงานหมุนเวียนให้ได้ร้อยละ 50 ของกำลังการผลิตไฟฟ้าของประเทศภายในปี พ.ศ. 2580 แหล่งพลังงานหมุนเวียนที่เป็นไปได้อย่างหนึ่งคือพลังงานแสงอาทิตย์ ซึ่งเห็นแนวโน้มว่ามีความต้องการเพิ่มขึ้นในอนาคตอันใกล้

เพื่อเป็นการเริ่มก้าวสู่แนวโน้มนี้ บริษัท Mitsubishi HC Capital (ประเทศไทย) (เดิมชื่อ Hitachi Capital), Hitachi Asia (ประเทศไทย) และ SANTEC ได้ร่วมมือกันติดตั้งอุปกรณ์ที่ใช้พลังงานแสงอาทิตย์ที่ผลิตขึ้นเองสำหรับกลุ่ม Hitachiในประเทศไทย โดยมีเป้าหมายในการบรรลุกำลังการผลิตไฟฟ้าที่ 10MW ภายในปี พ.ศ.2566 จากประสบการณ์นี้ บริษัททั้งสามหวังว่าจะนำพลังงานแสงอาทิตย์เข้าสู่กระแสหลักสำหรับบริษัทอื่นในประเทศไทย และช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้กับประเทศ

อีคอมเมิร์สได้นำไปสู่การเติบโตในภาคส่วนโลจิสติกส์ของประเทศไทยอย่างมาก การเติบโตอย่างรวดเร็วดังกล่าวส่งผลกระทบด้านลบต่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน เนื่องจากภาคขนส่งมีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากที่สุดเป็นอันดับสอง

นี่เป็นจุดที่บริการการแชร์ยานพาหนะของHitachi เข้ามามีส่วน ด้วยระบบติดตาม ช่วยให้บริษัท สามารถค้นหาและจองยานพาหนะสำหรับใช้ด้านการขนส่งของตัวเองได้ บริการนี้จะนำไปสู่ระบบการขนส่งที่มีการปรับอย่างเหมาะสมที่สุด ส่งผลให้มีรถบรรทุกว่างวิ่งน้อยลงบนถนนในประเทศไทย สิ่งนี้ช่วยลดการติดขัดของจราจร และทำให้การปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ลดลง

อำเภอเบตงในจังหวัดยะลาของประเทศไทย เป็นหุบเขาที่ล้อมรอบด้วยภูเขามากมาย สายไฟฟ้าที่วิ่งเข้าเมืองก็ผ่านพื้นที่ป่าทึบ บ่อยครั้งที่ความเสียหายจากต้นไม้ทำให้เกิดการหยุดชะงัก ไฟดับ และคุณภาพไฟฟ้าลดลง

บริษัท Hitachi Energy ได้เข้ามาช่วยโดยการพัฒนาโซลูชั่นไมโครกริดที่ขับเคลื่อนด้วยระบบดิจิตอลขั้นสูง โซลูชั่นนี้ช่วยระบุสาเหตุหลักของไฟฟ้าดับ และนำเครือข่ายไฟฟ้าที่มีความปลอดภัยมาสู่ภูมิภาคนี้ นอกจากนี้ โซลูชั่นนี้ยังช่วยจัดการความต้องการในการใช้ไฟฟ้า ลดการสูญเสียพลังงาน และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกด้วย

บริษัท SCG Cement-ผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง เป็นผู้ผลิตซีเมนต์และวัสดุก่อสร้างชั้นนำ บริษัทได้ผลักดันให้เพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน และลดการใช้พลังงานของบริษัทให้น้อยลง ในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมการผลิตประจำวัน

ที่โรงงานผลิตซีเมนต์ในทุ่งสง พวกเขาได้รวมโปรแกรมจำลองโรงงาน ซึ่งเป็นส่วนประกอบของ Lumada ของ Hitachi โปรแกรมจำลองโรงงาน จะวิเคราะห์ชุดข้อมูลหลายชุด และพัฒนาแผนการผลิตที่เหมาะสมที่สุดสำหรับทั้งโรงงาน รวมทั้งช่วยลดการใช้พลังงานด้วย นอกจากนี้ยังลดการปล่อยคาร์บอนลงด้วย

กรุงเทพมหานครขึ้นชื่อเรื่องการจราจรที่แออัด ซึ่งไอเสียของรถยนต์ก่อให้เกิดปัญหาสิ่งแวดล้อมร้ายแรงในแง่ของมลพิษทางอากาศ นักวางผังเมืองหันไปใช้ระบบขนส่งมวลชนแบบความก้าวหน้า เพื่อบรรเทาปัญหาการจราจรติดขัด

หนึ่งในระบบดังกล่าวคือโครงการรถไฟฟ้ากรุงเทพสายสีแดง โครงการนี้สร้างเป็นระบบรางยกระดับที่สมบูรณ์ โดยเชื่อมสถานีกลางบางซื่อ เข้ากับทางรถไฟสายเหนือและสายตะวันตก Hitachi ร่วมกับ Mitsubishi Heavy Industries และ Sumitomo Corporation จัดหาชุดรถไฟ 25 ชุดให้สำหรับโครงการนี้

นครโฮจิมินห์ประสบปัญหาการจราจรติดขัดในแต่ละวัน ทำให้เกิดการสูญเสียราว 820 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ถึง 1.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี สิ่งนี้ส่งผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อมลพิษทางอากาศ และการปล่อยคาร์บอน มีการพิจารณาทางเลือกมากมาย เช่น ถนนยกระดับ การเปลี่ยนถนนสายหลักเป็นถนนเดินรถทางเดียว และแม้กระทั่งการห้ามพาหนะส่วนตัวเข้ามาในย่านเขตเมือง

Hitachiเป็นหนึ่งในผู้รับเหมาหลักที่มีส่วนร่วมในการก่อสร้างรถไฟใต้ดินสายแรกในนครโฮจิมินห์ รถไฟใต้ดินนี้ชื่อว่าสาย 1 เชื่อมต่อศูนย์กลางของนครโฮจิมินห์ซิตี้กับประตูสู่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศ เนื่องจากเป็นรถไฟสายแรก สาย 1 จะมีบทบาทสำคัญในการบรรเทาความแออัด และช่วยลดการปล่อยคาร์บอนในเมืองลงอย่างมาก

เพื่อปรับปรุงการจ่ายไฟฟ้า Meralco สร้างสถานีย่อย GIS ขนาด 230/115 kV แห่งใหม่ในปี พ.ศ.2551 อย่างไรก็ตาม Meralcoต้องการพัฒนาสมาร์ตกริดที่มีสถานีย่อยดิจิตอล เพื่อทำให้เครือข่ายของตัวเองปลอดภัยขึ้น และซ่อมบำรุงได้ง่ายขึ้น

Hitachi Energy ถูกขอให้จัดหาระบบอัตโนมัติสำหรับสถานีย่อยให้ ระบบทำการจับคู่เทคโนโลยีที่ทันสมัย พร้อมกับทีมวิศวกรที่ผ่านการฝึกอบรมและมีประสบการณ์ ช่วยให้ Meralco ปรับปรุงการจัดการวงจรชีวิตสถานีย่อยได้เพิ่มขึ้น รวมทั้งลดต้นทุนการดำเนินงานและการบำรุงรักษาลงด้วย

รัฐบาลฟิลิปปินส์ตั้งเป้าที่จะติดตั้งฐานพลังงานหมุนเวียนให้ได้ 20GW ภายในปี พ.ศ.2583 พวกเขาวางแผนที่จะดำเนินการโดยการอัปเกรดสายส่ง Magat-Santiago เพื่อให้แน่ใจถึงการจ่ายไฟที่สมบูรณ์ของโรงไฟฟ้าพลังน้ำ Magat ใน Ramon

ด้วยความร่วมมือกับ AboitizPower และ Scatec, Hitachi Energy จะช่วยเหลือด้วยการสร้างระบบจัดเก็บแบตเตอรี่ ซึ่งจะเปิดใช้งานในปี พ.ศ.2567 ระบบจัดเก็บพลังงานแบตเตอรี่มีศักยภาพที่จะขยายได้ถึง 24MW และคาดหวังว่าจะใช้เป็นหลักสำหรับบริการเสริมความมั่นคง แต่จะจ่ายไฟไปยังโครงข่ายในช่วงเวลาที่มีความต้องการไฟสูงสุดอีกด้วย

New Clark City เมืองอัจฉริยะที่อยู่ห่างจากกรุงมะนิลาเพียง 80 กม. กำลังก้าวสู่ระบบการจัดการอัจฉริยะเพื่อให้แน่ใจถึงการพัฒนาอย่างยั่งยืนด้วยตนเองสำหรับระบบไฟฟ้า น้ำ และการจัดการของเสีย

ในการทำเช่นนั้น Hitachi ช่วยจัดหาโซลูชั่นสมาร์ตกริด ซึ่งระบบจะจัดสรรกำลังไฟฟ้าโดยอัตโนมัติโดยส่งพลังงานเพิ่มเติมไปยังพื้นที่ที่มีความต้องการสูงกว่า Hitachiมีประสบการณ์มาก่อนในการนำระบบการจัดการพลังงานในพื้นที่มาใช้ในเมือง Kashiwanoha ซึ่งเป็นเมืองอัจฉริยะในประเทศญี่ปุ่น ซึ่งให้การใช้งาน การตรวจดูแล และการควบคุมพลังงานในการพัฒนาอย่างมีประสิทธิภาพ